“What is wheel alignment?”

“What is wheel alignment?”
ตั้งศูนย์ล้อ คือ อะไร!!!!!
เมื่อไรควรตั้งศูนย์?  มีกี่มุม?
แล้วมุมที่สำคัญมีอะไรบ้าง?
แต่ละมุมมีความสำคัญอย่างไร?

คำถามมากมายเหลือเกิน  แอดมินจะแนะนำให้รู้จักแบบง่ายๆ ที่สุด  ไม่ต้องลงลึกเหมือนทำวิจัย ตามประสบการณ์ 28 ปีของแอดมิน

พร้อมแล้วก็ดูไปพร้อมๆ กับสังเกตรถของคุณไปพร้อมๆ กันได้เลยครับ

ตั้งศูนย์ล้อรถยนต์ คืออะไร?
การตั้งศูนย์ล้อคือการบำรุงรักษาอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก โดยการปรับมุมต่างๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานของผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งจุดประสงค์หลักๆ ก็คือเพื่อให้แน่ใจว่ารถเคลื่อนที่ไปยังปลายทางด้วยความถูกต้อง มีการยึดเกาะถนนที่ดี มีประสิทธิภาพ  ลดการสึกหรอของยาง  รถวิ่งตรง ไม่ทำให้เมื่อยแขน เพิ่มความสบายในการขับขี่ รวมถึงเพื่อความปลอดภัยต่อตนเองและผู้ร่วมทาง

เมื่อใดควรตั้งศูนย์?
1.หลังซ่อมบำรุงช่วงล่างรถ เช่น เปลี่ยนโช้คอัพ เปลี่ยนบูชยาง เปลี่ยนลูกหมาก เปลี่ยนลูกปืนล้อ เป็นต้น
2.รถวิ่งไม่ตรง ปล่อยมือแล้วรถวิ่งเอียง
3.กินยางขอบนอก หรือขอบใน หรือทั้งนอกในจนผิดสังเกต
4.พวงมาลัยไม่อยู่ในตำแหน่ง center เมื่อขับทางตรง
5.รถไม่เกาะถนน ร่อน แฉลบ ฉกไปมา
6.มีเสียงดังเอี๊ยดจากการเสียดสีของผิวยางกับผิวถนน
7.รถมีอาการสั่นเมื่อมีความเร็วระดับหนึ่ง (เป็นเคสที่พบไม่บ่อยนัก)
8.หลังเกิดอุบัติเหตุ เฉี่ยวชน กระแทก รวมถึงตกหลุมอย่างแรง
9.เมื่อถึงระยะการสลับยาง ถ่วงล้อตามกำหนด ทุก 10,000 -15,000 km
10.เมื่อมีการเปลี่ยนยางรถยนต์ ไม่ว่าจะยางใหม่หรือยางมืองสอง  รวมถึงล้อแมกซ์ 

ศูนย์ล้อมีกี่มุม ?
ศูนย์ล้อจะมีมุมที่ปรับแต่งตั้งค่าได้ 1-3 มุม คือ มุม TOE ,CAMBER, CASTER  แล้วแต่มาตรฐานของผู้ผลิตและรุ่นรถนั้นๆ  
และมุมที่ปรับแต่งไม่ได้อีก 3 มุมคือ เซ็ทแบ็ค(set back), มุมทรัสท์(Thrust angle), มุมคิงพิน(King pin)

มุมที่สำคัญมีกี่มุม?
มุมสำคัญมี 3 มุม คือ TOE ,CAMBER, CASTER ซึ่งเป็น 3 มุมที่ช่างจะปรับแต่งเวลาเราเอารถไปตั้งศูนย์นั่นเอง

แต่ละมุมมีความสำคัญอย่างไร?
เริ่มกันที่มุม TOE ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นพระเอกของงานนี้ รถทุกคันทุกรุ่นจะต้องสามารถปรับมุมนี้ได้ อย่างน้อยก็ล้อคู่หน้าครับ  ส่วนคู่หลังถ้าเป็นช่วงล่างแบบคานแข็งก็จะไม่สามารถปรับได้   แต่ถ้าเป็นรถ Segment ที่สูงขึ้นช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบอิสระก็จะสามารถปรับตั้งมุม TOE ล้อคู่หลังได้ด้วยเช่นกัน

มุม TOE  ก็คือมุมที่บังคับล้อทั้งซ้ายและขวาหันไปในทางเดียวกัน (โดยปกติแล้วมาตรฐานของรถแต่ละรุ่นจะกำหนดค่านี้มาจากโรงงานเช่น ให้ค่า TOE รวม อยู่ระหว่าง -2.5 mm ถึง +2.5 mm )  ให้ลองนึกภาพของหากล้อซ้ายหันไปทางซ้าย  ล้อขวาหันไปทางขวา  รถจะวิ่งว่อกแว่กไปทางซ้ายบ้างขวาบ้าง ไม่สามัคคีกันใช่มั้ยครับ   ดังนั้นการตั้งมุม TOE ก็มักจะตั้งให้ล้อซ้ายและล้อขวาขนานกัน รถก็จะวิ่งได้มั่นคงไม่ว่อกแว่ก  นี่คือพื้นฐานของการตั้งมุม TOE ครับ

ส่วนช่างที่มีความเชี่ยวชาญมากก็จะใส่รายละเอียดลงไปอีก ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์พอตัวครับว่าจะตั้งให้ขนานกันพอดีคือ Y-X =0 มิลลิเมตร (ดูรูปที่ 1 ) หรือจะตั้งค่าไหนก็ได้ให้อยู่ระหว่างค่ามาตรฐานที่โรงงานกำหนด

แล้วค่าไหนดีที่สุดนะ?
คำตอบก็คือการตั้งให้มีลักษณะ TOE IN จะทำให้รถวิ่งได้นิ่งดีในทางตรง  เข้าโค้งก็ยังนิ่งแต่ก็ตอบสนองการเข้าโค้งช้ากว่าแบบ TOE OUT     

ถ้าตั้ง TOE IN มากเกินไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ แทนที่ล้อจะกลิ้งไปตามถนน ก็จะเกิดการไถของล้อไปกับถนนแทน  ทำให้เกิดความฝืด เปลืองน้ำมัน  แล้วก็เปลืองยางมากๆๆๆๆ ด้วย   ซึ่งตำแหน่งที่ยางไถกับพื้นมากที่สุดก็คือขอบนอกนั่นเอง

ที่นี้มาลองพิจารณา TOE OUT กันบ้าง  ก็ตามรูปเลยคับ การตั้งแบบนี้เวลาวิ่งทางตรงรถจะไม่นิ่งเท่าแบบTOE IN แต่เวลาเข้าโค้งจะเลี้ยวได้ไว ตอบสนองต่อการเลี้ยวดี   เรียกว่าพร้อมเลี้ยวเลยหละครับ  

ถ้าตั้ง TOE OUT มากเกินไป  สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ แทนที่ล้อจะกลิ้งก็กลายเป็นไถไปกับถนนเช่นเดียวกัน แต่กินขอบในของยางครับ


มุม CAMBER
เป็นมุมล้อที่สำคัญมากๆ อีกมุม ที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งตรง ไม่ตรง เข้าโค้งดีหรือไม่ดี กินยางด้านในหรือกินยางด้านนอก เราลองมาพิจารณากันเลยครับ

มุม CAMBER จะมี 3 แบบคือ POSITIVE (+)  Negative(-) และ Neutral (0) ดูรูปที่ 2 ประกอบนะครับ   นึกถึงเวลาที่เราเดินคนเดียวแล้วเราเอียงตัวไปทางขวา เราก็จะเดินเลี้ยวไปทางขวาตามธรรมชาติใช่มั้ยครับ 

ลองนึกภาพการเดินกอดคอกับเพื่อน 2 คน คนที่อยู่ข้างซ้ายเอียงตัวเบียดมาด้านขวาก็จะมีแรงผลักไปทางขวา  และคนด้านขวาเอียงตัวมาด้านซ้ายก็จะเกิดแรงผลักมาด้านซ้าย ลักษณะนี้ก็คือ Negative Camber ตามรูปครับ

ที่นี้เรากับเพื่อนจะกอดคอเดินตรงมั้ยหละครับ ตามธรรมชาติถ้าคนไหนเอียงตัวมากกว่าก็จะมีแรงมากกว่าส่งผลให้เดินเอียงไปทางด้านนั้นแหละครับ   เช่นเดียวกันครับ ถ้ารถเรามี Camber ล้อซ้ายลบมากกว่า Camber ล้อขวา ก็จะทำให้เกิดแรงด้านข้างผลักให้รถเอียงไปทางขวาครับ เพราะฉะนั้นการตั้งค่านี้ก็ต้องตั้งให้พอดี  ไม่มากไปไม่น้อยไป

ทีนี่มาดูกันต่อ ถ้า Camber Negative มีผลดีคือรถจะเกาะถนนดี เกาะโค้งดี เลี้ยวคมครับ แต่ถ้า Camber Negative มากเกินไปก็จะเหมือนรูปที่ 2.4 ครับ คือน้ำหนักจะไปกดลงไปที่ผิวยางด้านในมากทำให้กินยางด้านในได้เช่นกันครับ

ส่วน Camber Positive ก็กลับมานึงถึงการกอดคอกับเพื่อนเหมือนเดิมครับ แต่ว่าต่างคนต่างพยายามเอียงตัวออกจากเพื่อน คนซ้ายเอียงไปซ้าย คนขวาเอียงไปขวา ใครที่เอียงมากกว่ากันก็จะมีแรงที่ฉุดให้เดินเอียงไปทางนั้นครับ

แล้วถ้าเป็นล้อรถที่เป็น Camber Positive จะมีผลดีผลเสียอย่างไรละครับ? คำตอบคือ รถไม่ค่อยเกาะถนนครับ ยิ่งการเข้าโค้งยิ่งแย่ไปใหญ่   แทนที่หน้ายางจะรับกับความเอียงของผิวทางในโค้งกลายเป็นว่าเอียงหนีโค้ง รถก็เลยเลี้ยวไม่คมครับ    อีกทั้งถ้า Camber Positive มากเกินไป  ขอบยางด้านนอกก็จะรับน้ำหนักรถมากกว่า  เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการกินขอบยางด้านนอกครับ

ส่วน Neutral Camber ก็คือล้อที่ตั้งฉากกับถนนพอดีครับ ไม่เอียงซ้ายไม่เอียงขวา ที่พบบ่อยๆ ก็คือล้อหลังของรถปิ๊กอัพครับ ลองไปสังเกตดูครับเมื่อล้อไม่เอียงก็จะไม่กินยางทั้งด้านนอกแล้วด้านใน แต่จะกินเสมอกันทั้งหน้ายาง สึกหรอตามการใช้งานครับ

มุม CASTER
มาถึงมุมสำคัญอีกมุมที่เรียกว่ามุม CASTER ครับ มุมนี้เกิดจากการลากเส้นตรงผ่านจุดศูนย์กลางของล้อลงมาตั้งฉากพื้นหนึ่งเส้นคือ Centerline ดูรูปที่ 3 ประกอบ แล้วลากอีก 1 เส้นจากจุดจุดหมุนบนเช่น ลูกหมากปีกนกบนหรือ ตำแหน่งลูกปืนเบ้าโช้ค ลงมาถึงจุดหมุนล่างคือลูกหมากปีกนกล่าง สองเส้นที่ตัดกันก็คือมุม Caster นั่นเอง

แล้วมุม caster มีไว้ทำอะไร? 
เพื่อสร้างเสถียรภาพในการขับขี่ การตีกลับของพวงมาลัย การบังคับแก้ไขให้รถที่วิ่งไม่ตรงให้กลับมาวิ่งตรงมากขึ้น โดยมุมนี้ก็มีค่าที่เป็น Positive Caster (+) กับ Negative Caster(-) ครับ 

รถยนต์ที่ผมพบเจอมา ร้อยทั้งร้อยเป็น Positive Caster(+) ทั้งนั้นครับ  เพราะถ้าเป็น Negative Caster รถจะวอกแวก แฉลบไปแฉลบมา ไม่มีความมั่นคง ร่อนไปมา เลี้ยวแล้วพวงมาลัยก็ไม่ตีกลับ   คนขับจะต้องเสียสติก่อนถึงที่หมายแน่ๆ คับ  แค่คิดก็เครียดแล้วครับ

การตั้งมุมนี้ให้มีความเหมาะสม ก็ต้องคำนึงถึงการตีกลับของพวงมาลัย ความมั่นคงในการขับขี่และต้องตั้งให้พอดีกับการวิ่งให้ตรงด้วย  หากตั้ง Caster ข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป ก็ทำให้มีแรงมากระทำด้านข้างจนรถวิ่งไม่ตรงเช่นกัน 

หากตั้ง Caster ล้อซ้ายมากเกินไปทำให้รถมีโอกาสวิ่งเอียงไปทางขวา   หากตั้ง Caster ล้อขวามากเกินไป รถก็มีโอกาสวิ่งเอียงไปทางซ้าย

สุดท้ายแล้วทั้งมุม TOE ,CAMBER , CASTER จะไม่สามารถแยกออกจากกันได้  เนื่องด้วยการปรับมุม CAMBER ก็มีผลที่ทำให้มุม TOE และมุม CASTER เพี้ยนไปจากเดิม  และเช่นเดียวกันการปรับมุม CASTER ก็ทำให้มุม CAMBER และมุม TOE ได้รับผลกระทบเพี้ยนไปจากเดิมได้

ดังนั้นจะต้องตั้งศูนย์กับช่างที่มีความรู้ความเข้าใจจริงเท่านั้น จึงจะสามารถแก้ไขให้รถของท่านขับขี่ได้ยอดเยี่ยมและมีประสิทธิภาพสูงสุด  ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่ารถทุกคันสามารถปรับตั้งได้ทุกมุมศูนย์ล้อ

รถยุโรปส่วนใหญ่ ปรับตั้งได้แค่มุม TOE  มุมเดียว รถเก๋งญี่ปุ่นส่วนใหญ่ตั้งได้ 2 มุมคือ CAMBER และ TOE   ส่วนรถที่ตั้งได้ 3 มุมก็สามารถพบได้ในรถปิ๊กอัพ เช่น DMAX VIGO TRITON และรถ  SUV ส่วนใหญ่ก็สามารถทำได้เช่นกัน

คำถามคือ รถที่ตั้งได้มุม TOE  มุมเดียว ถ้ามีปัญหารถยังวิ่งไม่ตรง ทำอะไรได้บ้าง? คำตอบสั้นๆ ง่ายๆก็ “ทำใจ” ครับ

แต่!!!จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา มันยังมีวิธีที่ Special กว่านี้ด้วยครับ  ไม่ว่าจะทำการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ การตรวจสอบสภาพยาง หรือการแก้ปัญหาแบบใดนั้นก็ต้องดูหน้างาน+ความรู้ความเข้าใจในช่วงล่างอย่างถ่องแท้ครับ  ยิ่งเป็นเคสพิเศษ  อย่างรถที่เกิดอุบัติเหตุมาก็จะต้องตั้งในแบบฉบับพิเศษเช่นกันครับ 

ลูกค้าหลายคนถามว่าทำไมตั้งศูนย์ที่อื่นไม่จบแบบที่นี่   ก็ต้องบอกเลยครับว่าเราไม่ได้ตั้งตามค่าโรงงานเท่านั้นครับ  ถ้ารถใหม่ป้ายแดงอาจจะตั้งตามค่าโรงงานได้   แต่ถ้าเป็นรถที่มีอายุการใช้งานระดับหนึ่งแล้ว หรือมีการดัดแปลงปรับปรุงช่วงล่างมาแล้ว การตั้งค่าศูนย์ล้อตามค่าโรงงานเห็นทีว่าจะหลงทางซะแล้วครับ

สุดท้ายนี้แอดมินก็ฝากผู้ใฝ่รู้ทุกท่าน หากต้องการปรึกษา หรืออยากติดตามผลงานของแอดมิน ก็กดไลค์กดแชร์เพจ กดติดตามไว้นะครับ 

แล้วแอดมินจะมาแบ่งปันความรู้ดีๆกันแบบไม่กั๊กจะได้นำไปเสริมสร้างความสุขให้กับรถของท่าน

วันนี้แอดมินลาไปก่อน
สวัสดีครับ

แชร์บทความ


บริการของเรา เพิ่มเติม